วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประเภทของดอกยาง

ประเภทของดอกยางรถยนต์
ดอกยาง นั้นเป็นส่วนประกอบของยางทุกชนิด โดยดอกยางนั้น จะทำหน้าที่ยึดเกาะถนนและทำหน้าที่รีดน้ำที่อยู่บนถนนเพื่อให้รถยนต์สามารถ ขับและควบคุมทิศทางไปได้โดยไม่เกิดการลื่นไถล แต่ก็จะมียางอีกประเภทหนึ่งที่ไม่มีดอกยาง ซึ่งยางประเภทนั้นจะเน้นใช้ในการแข่งขันและต้องการการยึดเกาะที่สูงมี Tradeware ที่ต่ำและส่วนมากจะวิ่งในถนนที่แห้งไม่มีน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องมีดอกยาง และวันนี้ Boxzaracing มีความรู้เรื่องรถเกี่ยวกับดอกยางมาฝากทุกท่านกันครับ
โดยดอกยางนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
  • ดอกยาง คือส่วนที่นูนออกมาบนหน้ายาง ทำหน้าที่ยึดเกาะถนนและกระจายน้ำหนักของตัวรถให้เท่ากันบนยางแต่ละเส้น
  • ร่องยาง เป็นส่วนที่อยู่ลึกลงไปในดอกยาง ทำหน้าที่รีดน้ำที่ขังอยู่บนถนนเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนได้มากที่สุดเพื่อการยึดเกาะถนนที่ดี
          ซึ่งผู้ผลิตยางแต่ละยี่ห้อนั้นก็จะออกแบบลายดอกยางที่ไม่เหมือนกันตามแต่เทคโนโลยีของแต่ละบริษัท โดยการออกแบบลายดอกยางนั้น สามารถแบ่งประเภทของลายดอกยางได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ


ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-Directional)
  • ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-Directional) โดยลายดอกยางเมื่อแบ่งครึ่งเป็น 2 ด้าน ลายดอกยางจะสวนทางกัน แต่เป็นลายดอกยางในรูปแบบเดียวกันทั้งซ้ายและขวา ดอกยางประเภทนี้ส่วนมากออกแบบมาเพื่อเหมาะกับรถที่ไม่ใช้ความเร็วสูงมาก เน้นความสะดวกสบายและนิ่มนวลในการขับขี่




ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional)
  • ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional) โดยลายดอกยางเมื่อแบ่งครึ่งเป็น 2 ด้าน ลายดอกยางประเภทนี้จะมีลายดอกยางที่เหมือนกันและไปในทางเดียวกันทั้งซ้ายและ ขวา และจะมีลูกศรหรือสัญลักษณ์ที่อยู่ข้างยางเพื่อบอกทิศทางการหมุนของยาง เพื่อที่เราจะได้ใส่ยางให้ถูกต้อง ซึ่งยางประเภทนี้จะสามารถรีดน้ำได้ดีกว่ายางประเภท ดอกยาง 2 ทิศทาง เหมาะสำหรับรถที่ใช้ความเร็วมาก และต้องการการควบคุมทิศทางที่ดีขึ้น 


ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (Asymmetric)
  • ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (Asymmetric) โดยลายดอกยางประเภทนี้จะมีลายที่แตกต่างกันบนหน้ายาง ซึ่งลายดอกยางด้านในนั้นจะออกแบบมาเน้นการขับขี่ที่ความเร็วสูง ส่วนดอกยางด้านนอกนั้นเน้นการขับขี่ในการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประเภทสีทาบ้าน


สีน้ำพลาสติก หรืออะคริลิค

เป็นสีที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะสามารถใช้ทาได้ทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยสีที่ใช้ทาภายนอกนั้นจะมีราคาแพงกว่าสีทาภายใน เพราะเป็นสีที่มีอะคริลิคแบบ 100% และยังต้องผสมสารอื่นๆเข้าไปเพื่อช่วยป้องกันสภาพอากาศที่อยู่ภายนอก เช่น กันแดด กันฝน กันเชื้อรา กันตะไคร่น้ำ กันความเป็นกรด-ด่างต่าง ซึ่งเราควรให้ความสำคัญกับการเลือกสีอะคริลิคสำหรับทาภายนอกมากที่สุด เพราะถ้าเลือกไม่ได้เราอาจจะต้องทาสีบ้านใหม่บ่อยๆ เพราะสีทีไม่มีคุณภาพจะหลุดลอกออกมาง่ายมาก

สีน้ำมัน

เป็นสีที่ใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวทำละลาย นิยมใช้กับงานทาไม้ ทาเหล็ก แต่ก็สามารถเอามาทาพื้นปู หรือคอนกรีตได้เหมือนกัน ลักษณะเด่นของสีน้ำมันก็คือ มันจะมีความเงางาม ทำความสะอาดง่าย แต่ข้อด้อยของมันก็คือมันมีราคาแพง และแห้งช้า(ประมาณ 6 ชั่วโมง)
สีย้อมไม้
ใช้ทาเฟอร์นิเจอร์ไม้ ส่วนที่เป็นไม้ภายในบ้านให้เป็นสีตามต้องการ


สีเคลือบไม้


สีเคลือบไม้

ใช้เคลือบไม้ให้เงาๆสวยๆ เป็นการทาเพื่อโชว์ความสวยงามของลายไม้ เช่น แล็คเกอร์ เชลแล็ก

สีกันสนิม

ใช้ทาวัสดุเหล็กเพื่อกันสนิมขึ้น มักใช้ทาก่อนที่จะลงสีน้ำมันทับลงไปอีกที


สีทารองพื้นปูน
ใช้ทาเพื่อรองพื้นวัสดุปูน คอนกรีต ทาก่อนที่จะทาสีจริงๆทับลงไป เพื่อลดความเป็นกรดของพื้นปูนและคอนกรีต ทำให้สีที่ลงจริงสามารถยึดเกาะกับวัสดุได้ดีขึ้น
         ความรู้เกี่ยวกับหลอดไฟ.                                                                                                                  ความสว่างเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญต่อผู้อยู่อาศัย ดังนั้นตามสถานที่ต่าง ๆ และบ้านเรือนที่พักอาศัยทั่วไปจึงจำเป็นต้องติดตั้งหลอดไฟเอาไว้ เพื่อคอยให้แสงสว่าง โดยในปัจจุบันมีหลอดไฟมากมายหลายชนิดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น หลอดกลม หลอดตะเกียบ หลอดฟลูออเรสเซนต์ เป็นต้น หลอดไฟแต่ละประเภทมีการใช้งานและคุณสมบัติแตกต่างกันไป ซึ่งอาจทำให้หลาย ๆ คนเกิดความสับสนได้ ดังนั้นในวันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับหลอดไฟประเภทต่าง ๆ มาให้ทราบกันค่ะ
 1. หลอดกลม

          ระบบการทำงานของหลอดกลมคือ กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเส้นลวดเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในหลอด เพื่อทำให้เกิดความร้อน ความร้อนนี่เองที่เป็นตัวจุดประกายไฟ และให้แสงสว่าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดไฟประเภทนี้ใช้พลังงานค่อนข้างมาก และเสื่อมสภาพเร็ว โดยมีระยะการใช้งานแค่ประมาณ 8 เดือน ดังนั้นในตอนนี้ผู้ผลิตจึงหันความสนใจไปที่การผลิตหลอดไฟแบบอื่นแทน และด้วยหลอดไฟที่มีอายุการใช้งานนานกว่า และประหยัดพลังงานมากกว่า ทั้งนี้มีการคาดกันว่าหลอดไฟประเภทนี้จะถูกลดจำนวนการใช้งานลงเรื่อย ๆ และหมดไปในที่สุด 

 2. หลอดฟลูออเรสเซนต์ 

          หลอดยาวที่นิยมนำมาใช้งานในที่พักอาศัย หลอดไฟประเภทนี้มีกระบวนการให้แสงสว่างคือ ส่งผ่านประจุอิเล็คตรอนซึ่งเกิดจากขั้วลบผ่านสารเรืองแสงที่ใช้เคลือบหลอดไฟไปยังขั้วบวก เป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่เป็นหลอดประเภท T12 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหลอดอ้วน หากเป็นไปได้ควรที่เลือกหลอดผอมแบบ T8 หรือ T5 ที่มีขนาดของหลอดเล็กกว่า แต่ให้ความสว่างเท่ากัน จะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นด้วย

 3. หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ 

          หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อของ หลอดตะเกียบ นั้นถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้แทนหลอดไส้แบบเก่า เพราะหลอดตะเกียบนอกจากจะมีขนาดกระทัดรัดแล้ว ยังเพิ่มระดับความสว่าง และมีอายุการใช้งานที่มากขึ้น โดยมีอายุการใช้งานเฉลี่ยถึง 7 ปี หรือประมาณ 8,000 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 4 เท่าของหลอดไฟแบบเก่าด้วย ขนาดของหลอดตะเกียบแบ่งออกเป็น 5 ชนิดด้วยกันคือ 2U 3U 4U 5U และ 6U สามชนิดหลังเหมาะกับโรงงานหรืออาคารเชิงพาณิชย์มากกว่า ส่วนชนิดที่เหมาะกับบ้านเรือนที่พักอาศัยทั่วไปคือ 2U และ 3U นั่นเอง



ประเภทของกีตาร์ ์
     ตามที่เรานั้นเคย รู้กันอยู่แล้วว่ากีตาร์นั่นก็มีอยู่สองแบบคือ กีตาร์โปร่ง กับกีตาร์ไฟฟ้า แต่ว่าเราลองมารู้จักกีตาร์ในแต่ละประเภทกันให้มากกว่านี้ดีกว่า
     1.กีตาร์โปร่ง หรือ อาคูสติกกีตาร์ นั่นเอง ก็คือกีตาร์ที่มีลำตัวโปร่งไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าในการเล่น ซึ่งสามารถที่จะพกพาไปเล่นได้ในทุก ๆ ที่ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรให้วุ่นวาย สามารถแบ่งได้ดังนี้
          1.1 กีตาร์คลาสสิก (Classic Guitar) ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ในยุคปัจจุบันนั่นเองซึ่งมีลักษณะเด่นก็คือมีลูกบิดและแกนพันสายเป็นพลาสติก มีคอหรือฟิงเกอร์บอร์ดที่ใหญ่คือประมาณ 2 นิ้วลักษณะแบนราบ และใช้สายเอ็นหรือไนล่อน ส่วน 3 สายบน(สายเบส) จะทำด้วยไนล่อนหรือใยไหมแล้วพันด้วยเส้นโลหะเช่นเส้นทองแดงหรือบรอนซ์ ซึ่งทำให้มีความนุ่มมือเวลาเล่นไม่เจ็บเหมือน สายโลหะ จึงเหมาะกับคนที่อยากหัดกีตาร์แต่กลัวเจ็บนิ้ว
          กีตาร์อีกอย่างที่อยากกล่าวถึงในหัวข้อกีตาร์คลาสสิกคือ กีตาร์ ฟลาเมนโก (flamenco) ซึ่งมีโครงสร้างแทบจะเหมือนกับกีตาร์คลาสสิกทุกประการเนื่องจากได้มีการพัฒนามาจากกีตาร์คลาสสิกนั่นเอง จะต่างกันก็ที่ลำตัวจะบางกว่า และมีปิคการ์ดทั้งด้านบนล่างของโพรงเสียง และสไตล์การเล่นนั่นเองที่จะเป็นแบบสแปนนิสหรือแบบลาตินซึ่งจะมีจังหวะที่ค่อนข้างกระชับและสนุกสนาน
ด้วยเหตุที่ใช้สายไนล่อนนั่นเองทำให้กีตาร์คลาสิกมีเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลและคอที่กว้างทำให้ระยะระหว่างสายก็มากขึ้นไปด้วย ซึ่งทำให้การเล่นกีตาร์คลาสสิคนั้นจะสามารถเล่นได้ทั้งการ solo เล่น chord แล่ bass ได้นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคลูกเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย ทำให้การเล่นกีตาร์คลาสสิกนั้นมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ง่ายนักกว่าจะเล่นได้อย่างที่ว่า นอกจากจะได้ไปเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังกับโรงเรียนดนตรีflamencoBfront.jpg (47292 bytes)flamencoBback.jpg (43036 bytes)flamencoBside.jpg (38276 bytes)






ส่วนต่าง ๆ ของกีตาร์คลาสสิก
1.2 กีตาร์โฟล์ค ถือว่าเป็นที่นิยมและรู้จักกันมากที่สุดเนื่องจากหาซื้อง่ายราคาไม่แพงจนเกินไป(ที่แพง ๆ ก็มี) สามารถฝึกหัดได้ง่ายไม่ต้องรู้ถึงทฤษฎีดนตรีมากนัก ใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถเล่นเพลงง่าย ๆ ฟังกันในหมู่เพื่อนฝูงได้แล้วแต่จริง ๆ กีตาร์โฟล์คมันมีอะไรมากกว่านั้น ลักษณะทั่ว ๆ ไปคือแกนหมุนและลูกบิดมักเป็นโลหะ คอหรือฟิงเกอร์บอร์ดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิกมีลักษณะโค้งเล็กน้อยรับกับนิ้วมือ แต่มีลำตัว (body) ที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ากว่ากีตาร์คลาสสิก ใช้สายที่ทำจากโลหะ เนื่องจากคอกีตาร์ที่เล็กและสายที่เป็นโลหะกีตาร์ประเภทนี้จึงเหมาะกับการเล่นด้วยปิค (flat pick) หรือการเกา (finger picking) ซึ่งเสียงที่ได้จะดังชัดเจน สดใสกว่ากีตาร์คลาสสิก จึงเหมาะกับการเล่นกับดนตรีทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจเล่นเดี่ยวหรือเล่นเป็นวงก็ได้
          กีตาร์โฟล์คนั้นมีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ กันไปบ้างตามแต่ละความต้องการใช้ประโยชน์ หรือตามแต่ละผู้ผลิตส่วนมากก็จะแบ่งได้เป็น standard folk กีตาร์, jumbo folk กีตาร์ flat top folk กีตาร์ นอกจากนี้ยังมีแบบพิเศษอีกประเภทคือ กีตาร์ 12 สาย(แถวบนขวาสุด) ซึ่งจะมีสายแบ่งเป็น 6 คู่ซึ่งเวลาเล่นก็เล่นเหมือนกีตาร์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่จะได้เสียงที่กังวานและแน่นขึ้น
ประเภทและสีของถังขยะ
          ถังขยะทั้งหมดมีอยู่ 4 ประเภท แต่ละประเภทนั้นก็รับขยะต่างกัน 
          1.  ถังขยะ สีเขียว คือ ถังขยะที่ย่อยสลายได้ เช่น เศษอาหาร กิ่งไม้ ใบไม้ ผัก และขยะอีกมากมายที่สามารถย่อยสลายได้
          2.  ถังขยะ สีเหลือง คือ ถังขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ เช่น กระดาษ ขวดน้ำ แก้วน้ำ เศษเหล็ก 
          3.  ถังขยะ สีน้ำเงิน คือ ถังขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ เช่น โฟม ถุงขนม พลาสติก
          4.  ถังขยะ สีแดง คือ ถังขยะที่เป็นพิษ เช่น กระป๋องสี สีสเปรย์ แบตเตอรี่ ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ ที่เป็นพิษ